นิวเคลียสประกอบด้วยโปรตรอนและนิวตรอน โดยนิวตรอนมีคุณสมบัติเป็นแบบใด
- ฉนวนไฟฟ้า
- เป็นกลางทางไฟฟ้า
- สารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์
- เป็นตัวนำไฟฟ้า
สารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์ที่นิยมนำมาทำเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คือสารใด
- สารเยอรมันเนียม และสารอะลูมิเนียม
- สารสังกะสี และสารซิลิชคอน
- สารเยอรมันเนียม และสารฟอสเฟต
- สารเยอรมันเนียม และสารซิลิคอน
สิ่งใดเป็นสิ่งที่ได้จากการนำสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็นและชนิดพีมาชนกัน
- ไบอัส
- แคโถด
- ไดโอด
- อิเล็กตรอน
การจัดแรงไฟให้สารกึ่งตัวนำเรียกว่าอย่างไร
- ไบอัส
- แคโถด
- ไดโอด
- อิเล็กตรอน
ธาตุที่จัดอยู่ในสารจำพวกสารกึ่งตัวนำคือข้อใด
- อาเซนิก
- แกลเลียม
- อินเดียม
- เยอรมันเนียม
ไบอัสมีกี่แบบ
- 1 แบบ
- 2 แบบ
- 3 แบบ
- 4 แบบ
ส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสารคือสิ่งใด
- อะตอม
- อิเล็กตรอน
- โปรตรอน
- โมเลกุล
. การผลิตสารกึ่งตัวนำชนิดเอ็นต้องเติมธาตุเจือปนอะไรลงไป
- อะลูมิเนียม
- โบมีน
- ฟอสฟอรัส
- โคบอลต์
อิเล็กตรอนที่โคจรอยู่รอบนิวเคลียสนั้นมีประจุเป็นแบบใด
- ประจุเป็นบวก
- ประจุเป็นลบ
- ประจุเป็นกลาง
- มีประจุเป็นบวกหรือลบก็ได้
อิเล็กตรอนที่โคจรอยู่วงนอกสุดของนิวเคลียส จะมีอิเล็กตรอนได้มากสุดไม่เกินกี่ตัว
- 5 ตัว
- 6 ตัว
- 7 ตัว
- 8 ตัว
อิเล็กตรอนวงนอกสุดที่โคจรอยู่รอบนิวเคลียสเรียกว่าอะไร
- วาเลนซ์อิเล็กตรอน
- พันธะโควาเลนซ์
- ไอออนิก
- ไอออนอิเล็กตรอน
อิเล็กตรอนวงนอกสุดบ่งบอกสิ่งใด
- คุณสมบัติในการนำไฟฟ้า
- คุณสมบัติทางไฟฟ้า
- ส่วนประกอบของสสาร
- โครงสร้างของอะตอม
ฉนวนไฟฟ้ามีวาเลนซ์อิเล็กตรอนจำนวนเท่าใด
- 1-3 ตัว
- 4 ตัว
- 4-5 ตัว
- 5-8 ตัว
ข้อใดไม่ใช่ธาตุที่เป็นตัวนำไฟฟ้า
- โครเมียม
- สังกะสี
- ทองคำ
- ทองแดง
ธาตุที่จัดเป็นจำพวกกึ่งตัวนำไฟฟ้าคือธาตุที่มีลักษณะอย่างไร
- ธาตุที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 1-3 ตัว
- ธาตุที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 4 ตัว
- ธาตุที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 5-8 ตัว
- ธาตุที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตัว
ในหนึ่งอะตอมของสารเยอรมันเนียมจะมีอิเล็กตรอนอยู่เท่าใด
- 12 ตัว
- 22 ตัว
- 32 ตัว
- 38 ตัว
วิธีการเติมสารเจือปนลงไปในสารบริสุทธิเพื่อสร้างสารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิมีอัตราส่วนเท่าใด
- 10⁸ : 1
- 22 ตัว
- 32 ตัว
- 38 ตัว
อะตอมของธาตุเจือปนที่ขาดอิเล็กตรอน 1 ตัวเรียกว่าอะไร
- ไดโอด
- แคโถด
- พาหะ
- โฮล
ข้อใดคือคำจำกัดความของไดโอด
- เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่เอาสารพีและสารเอ็นมาต่อเข้าด้วยกัน
- เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการจ่ายแรงดันให้กับอุปกรณ์ทางไฟฟ้า
- เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมแรงดันภายในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
- เป็นอุปกรณ์ที่ยอมให้กระแสไหลผ่านได้ทางเดียว
พาหะมีความหมายว่าอย่างไร
- การเคลื่อนที่ของนิวตรอน
- การเคลื่อนที่ของโปรตรอน
- สิ่งที่เกิดใกล้บริเวณรอยต่อพีเอ็น
- อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่
การเคลื่อนที่ของพาหะส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่บริเวณใด
- สารกึ่งตัวนำชนิดเอ็น
- สารกึ่งตัวนำชนิดพี
- โฮลที่เคลื่อนที่
- รอยต่อพีเอ็น
การที่สนามแม่เหล็กต้านการเคลื่อนที่ของพาหะส่วนใหญ่ของสารกึ่งตัวนำทั้งสองไมให้เคลื่อนที่ผ่านรอยต่อ เราเรียกสภาวะนี้ว่าอย่างไร
- สภาวะสมดุล
- สภาวะกีดกัน
- สภาวะต่อต้าน
- สภาวะไม่สมดุล
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ศักดิ์ทางไฟฟ้าจะมีค่าเป็นอย่างไร
- มีค่าสูงขึ้น
- มีค่าลดลง
- มีค่าลดลงจนถึง0
- มีค่าสูงสุด
ไดโอดที่ผลิตจากสารซิลิกอนมีค่าเท่าใด
- 0.3 V
- 0.5 V
- 0.6 V
- 0.8 V
ค่าความต้านทานกรณีไบอัสตรงสำหรับไดโอดชนิดเยอรมันเนียมและซิลิคอนโดยประมาณคือ
- 6Ω , 50Ω
- 50Ω , 6Ω
- 500kΩ , ∞
- ∞ , 500kΩ
ค่าความต้านทานกรณีไบอัสกลับสำหรับไดโอดชนิดเยอรมันเนียมและซิลิคอนโดยประมาณคือ
- 6Ω , 50Ω
- 50Ω , 6Ω
- 500kΩ , ∞
- ∞ , 500kΩ
ความต้านทานของไบอัสตรงปกติมีค่าเท่าไร
- 20 Ω
- 30Ω
- 50 Ω
- 70 Ω
เมื่อไดโอดได้รับไบอัสตรง จะมีผลอย่างไร
- กระแสไม่ไหล
- กระแสไหลผ่านไดโอดได้สูง
- เกิดค่าความต้านทานสูง
- เกิดแรงดันตกคร่อมไดโอดเป็นจำนวนมาก
การตรวจสอบไดโอดโดยใช้โอห์มมิเตอร์ต้องการทราบอะไร
- หาขาไดโอด
- กระแสรั่วไหล
- ดี หรือชำรุด
- ค่าของกระแส
เมื่อนำดิจิตอลมิเตอร์สเกลไดโอดมาวัดไดโอด ต้องการทราบอะไร
- ค่าความต้านทาน
- แรงดันไบอัสไปหน้า
- แรงดันไบอัสย้อนกลับ
- กระแสรั่วไหล
วงจรที่แปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง คือ
- Rectifier
- Clamping
- Filter
- Clipping
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นทำหน้าที่ใด
- เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้า
- เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสตรงเป็นไฟกระแสสลับ
- เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง
- เป็นวงจรที่ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับเป็นไปกระแสคลื่น
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในวงจรไฟฟ้าแบบใด
- วงจรสเกลล่า
- วงจรมิเตอร์
- วงจรมัลติมิเตอร์
- วงจรอิเล็กทรอนิกส์
เพราะเหตุใดแรงไฟที่เอาต์พุตยังนำไปใช้ในงานอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้
- ไฟเรียบเกินไป
- ไฟตรงไม่เรียบพอ
- กระแสขาดหาย
- เก็บประไม่พอเพียง
การเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นมีการจ่ายแรงคลื่นไฟฟ้ากระแสสลับไปที่ขดปฐมภูมิเท่าใด
- 120V
- 200V
- 220V
- 240V
เมื่อขั้วบนของขดปฐมภูมิได้รับเฟสลบ ขั้วล่างเทียบได้เฟสบวก จะทำให้ขดทุติยภูมิเป็นอย่างไร
- แรงดันสูง
- แรงดันคงที่
- เฟสลบ
- เฟสบวก
ค่าแรงดันไฟตรงที่ได้จากวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นคือข้อใด
- Vrms/0.707
- VAC x√2
- 0.318 Vp
- 0.636 Vp
ข้อเสียของวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น คือข้อใด
- หม้อแปลงที่จ่ายไฟสลับจะมีค่ากระแสไหลเป็นช่วงๆ ทำให้ประสิทธิภาพของหม้อแปลงต่ำลง
- มีข้อจำกัดขอเรื่องในการจ่ายกระแสไปยังโหลด
- เอาต์พุตของวงจรริปเปิลต่ำ
- แรงดันที่ได้มีค่าสูง
เพื่อให้แรงดันไฟตรงที่ได้จากวงจรเรียงกระแส มีค่าเรียบพอเพียงกับการนำไปใช้งานต้องใช้วงจรใดช่วย
- วงจรเรียงกระแส
- วงจรขลิบ
- วงจรกรองกระแส
- วงจรยกระดับ
การจัดวงจรไดโอดให้นำกระแสเฉพาะซีกบวกของไฟสลับ เป็นลักษณะของวงจรใด
- วงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสสลับ
- วงจรกระแสตรง
- วงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่นบวก
. หากตัวเก็บประจุฟิลเตอร์มีค่ามากเกินไป จะส่งผลเสียต่อส่งใด
- ขดปฐมภูมิ
- ขดทุติยภูมิ
- ไซเคิล
- ไดโอด
. วงจรกรองแรงดันโดยใช้ตัวเก็บประจุ ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
- ค่าความจุของตัวเก็บประจุมากจะทำให้กรองแรงดันได้เรียบยิ่งขึ้น
- ค่าความจุของตัวเก็บประจุมากจะทำให้กรองแรงดันเกิดริปเปิลมากขึ้น
- ค่าความจุของตัวเก็บประจุน้อยจะทำให้กรองแรงดันได้เรียบยิ่งขึ้น
- ค่าความจุของตัวเก็บประจุน้อยจะทำให้กรองแรงดันไฟตรงลดลง
วงจรกรองแรงดันมีตัวเก็บประจุรียกว่าอะไร
- อิเล็กโทรไลติค
- โพลิโฟรไพลีน
- เซรามิค
- ฟิลเตอร์
สัญญาณเข้าและสัญญาณออกของวงจรเร็กติไฟเออร์จะต่างเฟสกันกี่องศา
- 90 องศา
- 180 องศา
- 270 องศา
- 360 องศา
การต่อวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นบวก สัญญาณออก VOut จะเป็นอย่างไร
- จะได้สัญญาณเฉพาะช่วงบวก
- จะได้สัญญาณเฉพาะช่วงลบ
- จะได้สัญญาณทั้งช่วงบวกและช่วงลบ
- จะได้สัญญาณเป็นช่วงๆ
การใช้วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นจะได้ไฟกระแสตรงออกมาในลักษณะใด
- พัลส์เต็มคลื่น
- พัลส์ครึ่งคลื่น
- แรงดันอินพุต
- แรงดันเอาต์พุต
เมื่อเปรียบเทียบแรงดันอินพุตกับแรงดันเอาต์พุตที่ได้จะมีประสิทธิภาพต่ำ คิดเป็นประมาณกี่เปอร์เซ็น
- 40%
- 50%
- 60%
- 70%
วงจรกรองแรงดัน ถ้ามีตัวเก็บประจุค่ามากๆเอาต์พุตที่ได้จะเป็นอย่างไร
- แรงดันเรียบมากขึ้น
- แรงดันมีริปเปิลมาก
- แรงดันสูงขึ้นตามค่าของตัวเก็บประจุ
- แรงดันมีค่าต่ำลงเรื่อยๆ
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น ใช้ไดโอดจำนวนกี่ตัว
- 1 ตัว
- 2 ตัว
- 3 ตัว
- 4 ตัว
วงจรแปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรงคือ
- วงจรเรียงกระแส
- วงจรขลิบแรงดัน
- วงจรกรองกระแส
- วงจรยกระดับแรงดัน
การเรียงกระแสออกมาทั้งซีกบวกและซีกลบ เป็นคุณสมบัติของวงจรประเภทใด
- วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์
- วงจรกรองกระแส
ไดโอด 2 ตัวของวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบใช้หม้อแปลงมีแท็ปกลาง ทำหน้าที่ใด
- แปลงสัญญาณไฟแบบคลื่นเป็นสัญญาณไฟตรง
- แปลงสัญญาณไฟตรงเป็นสัญญาณไฟช่วงลบ
- แปลงสัญญาณแรงดันเป็นสัญญาณกระแสสลับ
- แปลงสัญญาณไฟสลับเป็นสัญญาณไฟตรง
ที่แท็ปกลางของหม้อแปลงจะกำหนดให้มีแรงดันเท่าใด
- 0 V
- 1 V
- 2 V
- 3 V
เพราะเหตุใดแรงดันที่ได้จากวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น จึงยังไม่เหมาะที่จะนำไปใช้งาน
- เกิดแรงดันตกคร่อมที่โหลด
- มีแรงดันสูง
- ยังมีระลอกคลื่นปนอยู่ปริมาณสูง
- มีความต้านทานมาก
วงจรกรองแบบที่ง่ายและนิยมใช้ที่สุดคือวงจรแบบใด
- วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์
- วงจรแบบใช้ตัวเก็บประจุ
สัญญาณที่ได้ทางเอาต์พุตจะต่างเฟสกันกี่องศา
- 90 องศา
- 160องศา
- 180 องศา
- 360 องศา
ค่าแรงดันไฟตรงที่ได้จะเป็นเท่าใด
- 0.707 Vp
- 2 Vp
- 0.318 Vp
- 0.636 Vp
ทำไมวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นจึงต้องใช้ไดโอด 2 ตัว
- เพื่อให้ไดโอดสลับกันทำงาน
- เพื่อรักษาระดับแรงดัน
- เพื่อให้แรงดันสูงขึ้นเป็น 2 เท่า
- เพื่อให้กรองกระแสได้เรียบ
วงจรกรองแรงดันทำหน้าที่อะไรในวงจร
- เพื่อกรองแรงดันให้เรียบ
- เพื่อจำกัดกระแส
- เพื่อไม่ให้กระแสไหลมายังโหลดมากเกินไป
- เพื่อลดแรงดันให้ต่ำลง
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นต่างจากแบบครึ่งคลื่นอย่างไร
- วงจรใช้ไดโอดตัวเดียว
- จ่ายแรงดันเอาต์พุตเป็นช่วงๆ
- ประสิทธิภาพต่ำ
- แรงดันเอาต์พุตจะสุงกว่าสองเท่า
เพราะเหตุใดหม้อแปลงที่ใช้ในวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นจึงต้องมีแท็ปกลาง
- เพราะทำให้แรงดันเพิ่มขึ้น
- เพื่อให้กระแสเพิ่มขึ้น
- เพื่อให้มีความทนทานมากขึ้น
- เพื่อแยกเฟสแรงดันจ่ายให้ไดโอดทั้งซีกบวกและซีกลบ
ข้อดีของวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นคือข้อใด
- มีความราบเรียบของสัญญาณ
- สามารถจ่ายแรงดันและกระแสให้กับวงจรได้สูง
- เรียงแรงดันไฟสลับให้ออกเอาต์พุตได้ทั้งช่วงบวกและช่วงลบ
- ถูกทุกข้อ
วงจรเรียงกระแบบบริดจ์เป็นวงจรสำหรับแก้ไขจุดบกพร่องของวงจรใด
- วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบใช้แรงดัน
- วงจรกรองกระแส
วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์วงจรประกอบด้วยไดโอดกี่ตัว
- 1 ตัว
- 2 ตัว
- 3 ตัว
- 4 ตัว
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นธรรมดาใช้หม้อแปลงแบบใด
- หม้อแปลงมีแท็ปกลาง
- หม้อแปลงไม่มีแท็ปกลาง
- หม้อแปลงแรงดัน
- หม้อแปลงเรียงกระแส
การทำงานของวงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์ไดโอดจะทำงานแบบใด
- ผลัดกันทำงานครั้งละหนึ่งตัว
- ผลัดกันนำกระแสครั้งละหนึ่งตัว
- ผลัดกันนำกระแสครั้งละสองตัว
- ไซเคิลบวกแรงดันไฟสลับ
- นำกระแสสลับ มีแรงดันตกคร่อมโหลด
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบบริดจ์ต่างจากวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นอย่างไร
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์สามารถใช้หม้อแปลงได้ทั้งแบบมีแท็ปกลางและไม่มีแท็ปกลาง
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์ใช้ไดโอด 4 ตัว
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์ ทำงานที่ความถี่สูง
- ถูกทั้งข้อ ก และ ข
- ถูกทั้งข้อ ก และ ค
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นทั้งแบบมีแท็ปกลางและแบบบริดจ์ จะให้แรงดันเอาต์พุตแบบใด
- ทุกๆ ครึ่งรอบ
- ทุกๆ 1รอบ
- ทุกๆ 1รอบครึ่ง
- ทุกๆ 2รอบ
- ทุกๆ 2รอบครึ่ง
วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์ใช้หม้อแปลงแบบมีแท็ปกลางเพื่อ
- เพื่อให้แรงดันที่เอาต์พุตสูงขึ้น
- เพื่อให้แรงดันเอาต์พุต บวก กราวด์และลบ
- เพื่อยกระดับแรงดัน
- ถูกทั้งข้อ ก และ ข
- ถูกทั้งข้อ ก และ ค
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นแบบบริดจ์ ดีกว่าวงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่นอย่างไร
- สามารถทวีคูณแรงดันเป็น 2 เท่าได้
- สามารถใช้กับหม้อแปลงแบบมีแท็ปและไม่มีแท็ป
- สามารถจ่ายแรงดันได้ทั้งบวกและลบได้ในวงจรเดียว
- เพิ่มแรงดันที่เอาต์พุตได้สูงขึ้น
- กระแสไหลผ่านได้สูง
เอาต์พุตของวงจรเรียงกระแสเต็มคลื่นแบบบริดจ์จะเหมือนกับเอาต์พุตของวงจรเรียงกระแสแบบใด
- วงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
- วงจรเรียงกระแสไปหน้า
- วงจรยกระดับแรงดัน
- วงจรเรียงกระแสสลับ
ค่าแรงดันเอาต์พุตมีค่าเป็นเท่าใดของแรงดันไฟสูงสุด
- 0.707 เท่า
- 2 เท่า
- 0.318 เท่า
- 0.636 เท่า
- 1.636 เท่า
PIV มีความหมายว่าอย่างไร
- แรงดันสูงสุดด้านกลับ
- แรงดันต่ำสุดด้านกลับ
- แรงดันในช่วงบวก
- แรงดันในช่วงลบ
- แรงดันกระแสสลับ
ถ้าหากต้องใช้ไฟตรง ที่เรียงกระแสออกมาเรียบขึ้น เราจะต้องใช้ตัวเก็บประจุแบบใด
- ตัวเก็บประจุสลับ
- ตัวเก็บประจุแบบบวก
- ตัวเก็บประจุแบบลบ
- ตัวเก็บประจุค่าน้อย
- ตัวเก็บประจุค่ามาก
อะไรเป็นข้อสังเกตวงจรรียงกระแสแบบบริดจ์
- ขั้ว AC จะต่อเข้ากับขั้วแอโนดและแคโถดของไดโอด 2 ตัว
- ขั้วบวกของบริดจ์จะต่อเข้ากับขั้วแอโนดของไดโอด 2 ตัว
- ขั้วลบของบริดจ์จะต่อเข้ากับขั้วแคโถดของไดโอด 2 ตัว
- แบบบริดจ์ที่ใช้หม้อแปลง 2 ขั้ว หรือ 3 ขั้วก็ได้
- ไม่มีข้อใดถูก
วงจรเรียงกระแสแบบใดเป็นที่นิยมใช้กันมาก
- วงจรเรียงกระแสแบบบริดจ์
- วงจรเรียงกระแสสลับ
- วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น
- วงจรเรียงกระแสแรงดัน
ซีเนอร์ไดโอดแตกต่างกับไดโอดธรรมดาอย่างไร
- การโด๊ปสารกึ่งตัวนำชนิดพี และเอ็น
- ปริมาณการโด๊ปสารกึ่งตัวนำ
- ลักษณะการจ่ายแรงดัน
- ปริมาณกระแสที่ไหลผ่าน
- ค่าแรงดันที่กำหนด
ซีเนอร์ไดโอดจะใช้งานในลักษณะใด
- จ่ายแรงดันไบอัสตรง
- จ่ายแรงดันไบอัสกลับ
- จ่ายค่าแรงดันมาก
- จ่ายค่าแรงดันน้อย
- การนำกระแส
ซีเนอร์ไดโอดถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ใด
- เป็นตัวนำกระแส
- สร้างแรงดันตกคร่อมคงที่
- รักษาแรงดันให้คงที่
- สร้างวงจรสมมูล
- จ่ายแรงดันไบอัสกลับ
การใช้งานของซีเนอร์ข้อใดถูกต้อง
- จ่ายไบอัสตรงค่าต่ำ
- จ่ายไบอัสตรงค่าสูง
- จ่ายไบอัสกลับต่ำกว่าเบรกดาวน์
- จ่ายไบอัสกลับสูงกว่าเบรกดาวน์
- จ่ายไบอัสตรงต่ำกว่าเบรกดาวน์
จากรูปข้อใดเป็นสัญลักษณ์ของซีเนอร์ไดโอด
-
-
-
-
-
ซีเนอร์ไดโอดเป็นไดโอดที่ผลิตจากสารใด
- เยอรมันเนียม
- ซิลิคอน
- สังกะสี
- ทองแดง
- ตะกั่ว
ค่าแรงดันเบรกดาวน์หรือแรงดันซีเนอร์กำหนดได้จากอะไร
- แรงดันไบอัสกลับ
- แรงดันตกคร่อมตัวซีเนอร์
- สมบัติทางไฟฟ้าของกระแส
- กระแสไหลผ่านซีเนอร์
- การควบคุมความหนาแน่นของสารเจือปน
การพังทลายของไดโอดแบ่งได้เป็นกี่ชนิด
- 1 ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
สภาวะที่แรงดันตกคร่อมไดโอดขณะไบอัสกลับมีค่าคงที่ เรียกว่า
- แรงดันไดโอด
- แรงดันที่ได้ไม่มีริปเปิล
- ทำให้แรงดันคงที่
- ทำให้แรงดันมีค่าสูงขึ้น
- แรงดันเซอร์เรนท์
ข้อใดคือผลของการใช้ซีเนอร์ไดโอดควบคุมแรงดัน
- ทำให้แรงดันต่ำลง
- แรงดันที่ได้ไม่มีริปเปิล
- ทำให้แรงดันคงที่
- ทำให้แรงดันมีค่าสูงขึ้น
- กระแสไม่เรียบ
หากเพิ่มกระแสเกินกว่าค่ากระแสซีเนอร์สูงสุด จะมีผลอย่างไร
- แรงดันซีเนอร์ชำรุด
- แรงดันซีเนอร์กระแสต่ำ
- ไดโอดควบคุมแรงดันไม่ได้
- ขาแคโถดชำรุด
- เกิดการพังทลาย
ในทางอุดมคติซีเนอร์ไดโอดมีวงจรเทียบเท่าเป็นแบบใด
- ซีเนอร์ไดโอดที่มีขนาดแรงดันไฟตรงเท่ากับแรงดันซีเนอร์
- ไดโอดที่มีขนาดแรงดันไฟเท่ากับแรงดันซีเนอร์
- มิเตอร์ที่มีขนาดแรงดันไฟตรงเท่ากับแรงดันซีเนอร์
- แบตเตอรี่ที่มีขนาดแรงดันไฟกระแสสลับเท่ากับแรงดันซีเนอร์
- แบตเตอรี่ที่มีขนาดแรงดันไฟตรงเท่ากับแรงดันซีเนอร์
ถ้าให้แรงดันไบอัสย้อนกลับสูงสุดกับซีเนอร์ไดโอดจะเป้นอย่างไน
- ซีเนอร์ไดโอดจะเสียหาย
- ซีเนอร์ไดโอดจะควบคุมกำลังงานไม่ได้
- ซีเนอร์ไดโอดจะยังคงรักษาระดับแรงดันได้
- ซีเนอร์ไดโอดจะมีริปเปิลมาก
- ซีเนอร์ไดโอดมีกระแสคงที่
VRM (V)มีความหมายว่าอย่างไร
- กระแสที่ไหลผ่านซีเนอร์ไดโอดขณะที่มี RS
- กระแสรั่วไหลสูงสุด
- แรงดัน Breakdown Voltage
- แรงดันย้อนกลับสูงสุด
- กระแสไหลย้อนกลับไม่คงที่
ในการต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอดทุกครั้ง จะต้องมีความต้านทานแบบใด
- ต่อแบบขนาน
- ต่อแบบอนุกรม
- ต่อแบบไบอัสกลับ
- ต่อแบบไบอัสตรง
- ต่อแบบวงจรสมมูล
การพังทลายแบบอะวาลานซ์ คืออะไร
- ซีเนอร์ไดโอดไดรับไบอัสกลับแรงดันสูงมากแล้วทำให้ซีเนอร์ไดโอดใช้งานไม่ได้
- ซีเนอร์ไดโอดไดรับไบอัสกลับแรงดันสูงแล้วทำให้ซีเนอร์ไดโอดทำงาน
- ซีเนอร์ไดโอดไดรับไบอัสตรงแล้วทำให้แรงดันต่ำ
- ซีเนอร์ไดโอดไดรับไบอัสตรงแล้วทำให้แรงดันสูง
- ข้อ ข และ ค ถูก
ในวงจรเร็กกูเลชั่นที่ใช้ซีเนอร์ไดโอดเป็นตัวควบคุมแรงดันให้คงที่ต้องใช้อะไร เป็นตัวป้องกัน
ความเสียหายแก่ซีเนอร์ไดโอด
- ต้องต่อวงจรกรองกระแส
- ต้องใช้โหลดกำลังงานสูง
- ต้องต่อตัวต้านทานอนุกรมกับซีเนอร์ไดโอด
- ต้องให้อินพุตต่ำ
- การโด๊ปสารกึ่งตัวนำ
วงจรซีเนอร์ไดโอดถ้าแรงดันอินพุตเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1-2 V แรงดันที่ซีเนอร์จะเป้นอย่างไร
- แรงดันที่ตัวซีเนอร์ไดโอดจะเท่าเดิม
- แรงดันที่ตัวซีเนอร์ไดโอดจะลดลง
- แรงดันที่ตัวซีเนอร์ไดโอดจะเพิ่มขึ้น
- แรงดันที่ตัวซีเนอร์ไดโอดจะลดลงเป็นศูนย์
- แรงดันที่ตัวซีเนอร์ไดโอดจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุด
ซีเนอร์ไดโอดเร็กกูเรเตอร์นิยมนำมาใช้ในวงจรจ่ายไฟแบบใด
- วงจรจ่ายไฟกำลังต่ำ
- วงจรจ่ายไฟกำลังสูง
- วงจรจ่ายไฟแรงดันสูง
- วงจรจ่ายแรงดันต่ำ
- วงจรกระแสต่ำ
ข้อเสียของการควบคุมแรงดันให้คงที่ด้วยซีเนอร์ไดโอด คืออะไร
- แรงดันไฟมีการกระเพื่อมริปเปิลสูง
- วงจรกรองกระแสต่ำ
- แรงดันเอาต์พุตสูง
- การประกอบใช้งานยุ่งยาก
- มีขนาดใหญ่
แรงดันเอาต์พุตของวงจรเร็กกูเลเตอร์ที่ใช้ซีเนอร์ไดโอดจะมีค่าเท่าใด
- จะเท่ากับแรงดันเอาต์พุต
- จะเท่ากับแรงดันซีเนอร์ของซีเนอร์ไดโอด
- จะเท่ากับแรงดันริปเปิล
- จะเท่ากับแรงดันอ้างอิง
- จะเท่ากับแรงดันแบบอาร์ซี
ข้อใดเป็นการต่อใช้งานซีเนอร์ไดโอดที่ถูกต้อง
- ซีเนอร์ไดโอดต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน แล้วต่อขนานกับเอาต์พุต
- ซีเนอร์ไดโอดต่อขนานกับตัวต้านทาน แล้วต่อขนานกับเอาต์พุต
- ซีเนอร์ไดโอดต่ออนุกรมกับตัวเก็บประจุ แล้วต่ออนุกรมกับเอาต์พุต
- ซีเนอร์ไดโอดต่อขนานกับตัวเก็บประจุ แล้วต่ออนุกรมกับเอาต์พุต
- ซีเนอร์ไดโอดต่ออนุกรมกับตัวปรีแอมป์ แล้วต่อขนานกับเอาต์พุต
การลดริปเปิลของภาคจ่ายไฟลง นิยมใช้ตัวกรองกระแสแบบใด
- แบบฟิลเตอร์
- แบบเร็กกูเลเตอร์
- แบบอาร์ซี
- แบบซีเนอร์
- แบบโวลต์เตจ
แรงดันเอาต์พุตของวงจรจ่ายไฟกำลังต่ำ คือ
- แรงดันกระแสต่ำ
- แรงดันกระแสแรงสูง
- ไบอัสกลับ
- ไบอัสตรง
- แรงดันตกคร่อมซีเนอร์ไดโอด
เพราะเหตุใดตัวต้านทานที่นำมาต่ออนุกรมกับซีเนอร์ไดโอดต้องมีค่ามาก
- เพื่อจำกัดกระแสไม่ให้ไหลผ่านเร็กกูเลเตอร์ในขณะที่มีโหลด
- เพื่อจำกัดกระแสไม่ให้ไหลผ่านเร็กกูเลเตอร์ในขณะที่ไม่มีโหลด
- เพื่อจำกัดกระแสไม่ให้ไหลผ่านซีเนอร์ไดโอดในขณะที่มีโหลด
- เพื่อจำกัดกระแสไม่ให้ไหลผ่านซีเนอร์ไดโอดในขณะที่ไม่มีโหลด
- ไม่มีข้อใดถูก
การต่อซีเนอร์ไดโอดต้องต่อในลักษณะใด
- ไบอัสตรง
- ไบอัสกลับ
- ไดโอดกระแสตรง
- ไดโอดกระแสสลับ
- แรงดันเอาต์พุต
จุดเด่นของวงจรเร็กกูเลเตอร์ที่ใช้ซีเนอร์ไดโอดคือข้อใด
- แรงดันคงที่
- ประหยัด
- ต่อวงจรใช้งานได้ง่าย
- มีความต้านทานสูง
- ถูกทุกข้อ
การออกแบบวงจรเร็กกูเลเตอร์จะต้องคำนึงถึงสภาวะใด
- สภาวะแรงดันต่ำและสภาวะแรงดันสูง
- สภาวะแบบขนานและสภาวะแบบอนุกรม
- สภาวะมีโหลดและสภาวะไม่มีโหลด
- สภาวะเอาต์พุตและสภาวะอินพุต
- สภาวะกระแสไหลผ่านและสภาวะกระแสไม่ไหลผ่าน
ซีเนอร์ไดโอดไม่สามารถไปใช้งานในวงจรใด
- วงจรกำหนดแรงดันออกเอาต์พุต
- วงจรตัดสัญญาณ
- วงจรเรียงกระแส
- วงจรสร้างคลื่นสี่เหลี่ยมจากคลื่นไซน์
- วงจรเอาต์พุต
ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใด
- สวิตซิ่ง
- ซีเนอร์
- ใช้เพื่อการสื่อสาร
- แอคทีฟ
- ดีวิช
ทรานซิสเตอร์มีชนิดใดบ้าง
- NPN และ PNP
- PNP และ NPP
- NPT และ PPN
- PPN และ NPP
- NNP และ PPN
ทรานซิสเตอร์ที่แบ่งโดยใช้สารกึ่งตัวนำเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็นกี่ชนิด
- 1 ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
การจัดแรงไฟไบอัสทรานซิสเตอร์ แบบจัดให้ฟอร์เวิร์ดไบอัสเป็นแบบใด
- จัดระหว่างขาเบสกับขาคอลเลคเตอร์
- จัดระหว่างขาคอลเลคเตอร์กับขาอิมิตเตอร์
- จัดระหว่างขาคอลเลคเตอร์กับเยอรมันเนียม
- จัดระหว่างขาอิมิตเตอร์กับขาเยอรมันเนียม
- จัดระหว่างขาเบสกับขาอิมิตเตอร์
เพราะเหตุใดเยอรมันเนียมทรานซิสเตอร์ในปัจจุบันจึงไม่นิยมใช้
- ตัวใหญ่เกินไป
- กระแสรั่วไหลมาก
- ค่าความต้านทานต่ำ
- ไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด
- ประสิทธิภาพต่ำ
ทรานซิสเตอร์ชนิดใดที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
- ทรานซิสเตอร์ชนิดหัวต่อ
- ทรานซิสเตอร์ชนิดเยอรมันเนียม
- ทรานซิสเตอร์แบบปรับค่า
- ทรานซิสเตอร์ชนิดซิลิกอน
- ทรานซิสเตอร์ชนิดอะลูมิเนียม
ข้อใดไม่ใช่ปัญหาในการใช้งานหลอดสุญญากาศ
- มีขนาดใหญ่
- ชำรุดง่าย
- ไม่มีตัวให้ความร้อน
- กรรมวิธีผลิตยุ่งยาก
- กำลังไฟฟ้าสูญเสียมาก
ชั้นกลางของโครงสร้างทรานซิสเตอร์ต่อกับขาใด
- อิมิตเตอร์
- คอลเลคเตอร์
- เบส
- กราวด์
- โด๊ป
ชั้นรอบนอกของโครงสร้างทรานซิสเตอร์เรียกว่าอะไร
- ตัวถัง
- โครงสร้างรอบนอก
- เบส
- กราวด์
- คอลเลคเตอร์และอิมิตเตอร์
การแบ่งประเภททรานซิสเตอร์ที่นิยมใช้กัน คือการแบ่งแบบใด
- การแบ่งโดยวัดจากแรงดัน
- การแบ่งโดยวัดจากความถี่
- การแบ่งโดยวัดประสิทธิภาพ
- การแบ่งโดยใช้สารที่นำมาทำเป็นเกณฑ์
- กล่าวถูกทุกข้อ
โครงสร้างภายนอกของทรานซิสเตอร์มีไว้เพื่ออะไร
- ป้องกันโครงสร้างภายใน, ระบายความร้อนและคำจุนขา
- สวยงาม, ค้ำจุนขาและระบุชนิดของทรานซิสเตอร์
- ป้องกันโครงสร้างภายใน, ระบายความร้อน และระบุชนิดของทรานซิสเตอร์
- ระบุชื่อขาต่างๆของทรานซิสเตอร์
- ระบุชื่อขาต่างๆของทรานซิสเตอร์, ระบายความร้อน
การนำเอาสารกึ่งตัวนำบริสุทธิชนิด P และ N มาต่อกันเพื่อผลิตทรานซิสเตอร์ จะต้องใช้กระบวนการใด
- Doping
- Oxidation
- Shockky
- Collac
- Basener
จากรูปเป็นสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ประเภทใด
- ชนิด NPN
- ชนิด NNP
- ชนิด PNP
- ชนิด PPN
- ชนิด NPP
จากรูปเป็นสัญลักษณ์ทรานซิสเตอร์ชนิดใด
- ชนิด NPN
- ชนิด NNP
- ชนิด PNP
- ชนิด PPN
- ชนิด NPP
ถ้าทรานซิสเตอร์ขึ้นต้นด้วย 2SC เป็นทรานซิสเตอร์ชนิดใด
- ชนิด NPN
- ชนิด NNP
- ชนิด PNP
- ชนิด PPN
- ชนิด NPP
วัตถุประสงค์ของการสร้างทรานซิสเตอร์ มาจากหลักการใด
ก.กระแสเอาต์พุตไปควบคุมกระแสอินพุต
วัตถุประสงค์ของการสร้างทรานซิสเตอร์ มาจากหลักการใด
- กระแสเอาต์พุตไปควบคุมกระแสอินพุต
- กระแสอินพุตไปควบคุมกระแสเอาต์พุต
- ไบอัสไปควบคุมอินพุต
- ไบอัสไปควบคุมเอาต์พุต
- ข้อ ข และข้อ ค ถูก
หากให้กระแสอินพุตสูงเกินไปจะทำให้กระแสเอาต์พุตเป็นอย่างไร
- เกิดการอิ่มตัว
- มีกระแสไหลผ่านมาก
- เกิดการช็อต
- กระแสไบอัสย้อนกลับ
- ไม่เกิดปฎิกิริยาใดๆ
การดูทิศทางของกระแส นิยมดูจากสิ่งใด
- กระแสการไหลของไบอัส
- อิเล็กตรอน
- การเคลื่อนที่ของประจุ
- ขั้วลบ
- ขั้วบวก
การไหลของกระแสไบโพลาร์ คือ
- การแลกเปลี่ยนสารระหว่าง โฮลกับนิวเคลียส
- การแลกเปลี่ยนสารระหว่าง โฮลกับอิเล็กตรอน
- การแลกเปลี่ยนประจุระหว่าง โฮลกับอิเล็กตรอน
- การแลกเปลี่ยนประจุระหว่าง โฮลกับไบอัส
- การแลกเปลี่ยนกระแสระหว่าง โฮลกับอิเล็กตรอน
ข้อใดเป็นการจ่ายไบอัสให้กับทรานซิสเตอร์ที่ถูกต้อง
- จ่ายไบอัสตรงให้กับขา C และขา B
- จ่ายไบอัสกลับให้กับขา B และขา C
- จ่ายไบอัสกลับให้กับขา E และขา B
- จ่ายแรงดันสูงให้กับขา B และขา E
- จ่ายแรงดันสูงให้กับขา B และขา C
ทรานซิสเตอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 2SA หรือ A มีความหมายว่าอย่างไร
- ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP ให้ความถี่ต่ำ
- ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP ให้ความถี่สูง
- ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN ให้ความถี่ต่ำ
- ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN ให้ความถี่สูง
- ทรานซิสเตอร์ชนิด NPP ให้ความถี่ต่ำ
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้านิยมเรียกว่าอะไร
- เอฟเฟ็ก
- ซิมโบลส์
- ตัวต่อไฟฟ้า
- เฟต
- เฟส
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าใช้สิ่งใดในการควบคุมการไหลของกระแส
- พาหะ
- อิเล็กตรอน
- สารกึ่งตัวนำ
- สนามไฟฟ้า
- โลหะ
เจเฟตมีกี่ชนิด
- 1 ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4ชนิด
- 5 ชนิด
เจเฟตชนิดเอ็นแชนเนล สารเอ็น ต่ออยู่กับขาใด
- ขาเดรน
- ขาซอร์ส
- ขาเกต
- ขาเดรนและขาซอร์ส
- ขาเดรนและขาเกต
สนามแม่เหล็กมักจะเกิดที่บริเวณใด
- รอยต่อของพี-เอ็น
- รอยต่อของพี-ซี
- รอยต่อของขาเกต-ขาซอร์ส
- รอยต่อของขาเกต-ขาเดรน
- รอยต่อของขาซอร์ส-ขาเดรน
เจเฟตมีขาต่อใช้งานกี่ชนิด
- 1 ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
ถ้าจะควบคุมกระแสเดรนที่ไหลผ่านเจเฟตจะต้องทำอย่างไร
- ควบคุมแรงดันไบอัสตรงที่ซอร์สของเจเฟต
- ควบคุมแรงดันไบอัสกลับที่ซอร์สของเจเฟต
- ควบคุมแรงดันไบอัสตรงที่เกตของเจเฟต
- ควบคุมแรงดันไบอัสกลับที่เกตของเจเฟต
- ควบคุมแรงดันไบอัสกลับที่เกตและซอร์สของเจเฟต
ถ้าไบอัสกลับที่ขา G-S มากขึ้นจนกระทั่งกระแสเดรนเท่ากันศูนย์พอดี ค่าแรงดันไบอัสกลับนี้เรียกว่าอะไร
- Saturation Line
- Pinch Off Voltage
- Ohmic Off Voltage
- Effact Transistor
- Symbols Mode
จากรูปเป็นสัญลักษณ์ของเฟตชนิดใด
- เจเฟตเอ็นแชนเนล
- เจเฟตพีแชนเนล
- มอสเฟตเอ็นแชนเนล
- มอสเฟตพีแชนเนล
- ดีมอสเฟตพีแชนเนล
IDSS มีความหมายว่าอย่างไร
- แรงดันระหว่างเกตกับซอร์ส
- แรงดันระหว่างเกตกับเดรนกับเกต
- แรงดันระหว่างเกตกับเดรน
- แรงพินออฟ
- กระแสอิ่มตัวระหว่างเดรนกับซอร์ส
ลักษณะสมบัติที่เจเฟตจะเหมือนกับตัวต้านทานตัวหนึ่ง การทำงานในย่านนี้เรียกว่าอย่างไร
- แรงพินออฟ
- ย่านโอห์มมิก
- แรงดันพินส์
- ย่านพลีทชัน
- ย่านวอลเทส
มอสเฟตระหว่างเกตกับช่องทางเดินกระแสมีโครงสร้างเป็นสารใด
- เยอรมันเนียม
- ฟอสฟอรัส
- ซิลิกอนไดออกไซด์
- คาร์บอนมอนน็อกไซด์
- ไม่มีข้อใดถูก
เจเฟตจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อ
- ให้ไบอัสที่ขาเดรน
- ให้ไบอัสที่ขาเกต
- ให้ไบอัสที่ขาซอร์ส
- ให้ไบอัสที่ขาเดรนและขาซอร์ส
- ถูกทุกข้อ
เจเฟตและมอสเฟตแตกต่างกันอย่างไร
- การจ่ายไบอัส
- โครงสร้างภายนอก
- โครงสร้างภายใน
- แรงดันใช้งาน
- ลักษณะการใช้งาน
ดีพลีทชันโหมดคือ
- การควบคุมกระแสเดรนด้วยแรงดันเกตที่เป็นลบ
- การควบคุมกระแสเดรนด้วยแรงดันเกตที่เป็นบวก
- การควบคุมกระแสเกตด้วยแรงดันเกตที่เป็นลบ
- การควบคุมกระแสเกตด้วยแรงดันเกตที่เป็นบวก
- การควบคุมกระแสเดรนและซอร์สด้วยแรงดันเกตที่เป็นลบ
ดีมอสเฟตทำงานได้กี่สถานะ
- 1 สถานะ
- 2 สถานะ
- 3 สถานะ
- 4 สถานะ
- 5 สถานะ
เอนฮานซ์เมนต์โหมดคือ
- การไบอัสเกตของมอสเฟตด้วยแรงดันบวก
- การไบอัสซอร์สของดีมอสเฟตด้วยแรงดันบวก
- การไบอัสเกตของดีมอสเฟตด้วยแรงดันบวก
- การไบซอร์สของดีมอสเฟตด้วยแรงดันลบ
- การไบอัสเกตของเจเฟตด้วยแรงดันบวก
ค่าความต้านทานที่เกตกับซอร์ส หรือเกตกับเดรนจะมีคุณสมบัติเหมือนวัดอุปกรณ์ใด
- ตัวต้านทานไดโอด
- คาปาซิเตอร์
- ไดโอด
- ขดลวด
- มิเตอร์
การตรวจสอบเจเฟตว่าดีหรือเสียโดยใช้โอมมิเตอร์ ในกรณีที่รู้ตำแหน่งขาแล้วให้ตั้งตำแหน่งการวัดที่สเกลเท่าใด
- R x 10
- พีแชนเนล
- ดีแชนเนล
- จีแชนเนล
- R x 100
ถ้าวัดค่าความต้านทานแล้ว ขาร่วมมีศักดิ์บวกแสดงว่าเป็นเจเฟตชนิดใด
- เอ็นแชนเนล
- พีแชนเนล
- ดีแชนเนล
- จีแชนเนล
- ยังระบุไม่ได้
ไอซีตั้งเวลา 555 สามารถกำเนิดสัญญาณใดได้บ้าง
- อะสเตเบิ้ล และดีมอสสเตเบิ้ล
- อะสเตเบิ้ล และไมนอสสเตเบิ้ล
- โมโนสเตเบิ้ล และดีมอสสเตเบิ้ล
- โมโนสเตเบิ้ล และไมนอฟสเตเบิ้ล
- อะสเตเบิ้ล และโมโนสเตเบิ้ล
หากต้องการวงจรตั้งเวลาที่มีความเที่ยงตรงค่อนข้างสูง ต้องใช้วงจรใด
- วงจรอะสเตเบิ้ล
- วงจรโมโนสเตเบิ้ล
- วงจรดีมอสเฟต
- วงจรเจเฟต
- วงจรดีแชนเนล
การทำงานของวงจรโมโนสเตเบิ้ล จะแบ่งเป็นกี่สภาวะ
- 1 สภาวะ
- 2 สภาวะ
- 3 สภาวะ
- 4 สภาวะ
- 5 สภาวะ
ไอซีเบอร์ 555 ที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป จะทำงานในช่วงอุณหภูมิที่เท่าใด
- 0 - 70 องศาเซลเซียส
- 0 – 80 องศาเซลเซียส
- 20 – 70 องศาเซลเซียส
- 20 – 80 องศาเซลเซียส
- 30 – 70 องศาเซลเซียส
ถ้า Vac ที่จ่ายให้แก่เครื่องวัดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น เท่ากับ 100 v จงคำนวณหาค่า Vac
- 45 V
- 50 V
- 90 V
- 100 V
ถ้า Vac ที่จ่ายให้แก่เครื่องวัดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น เท่ากับ
จงคำนวณหาค่า
- 3.5 V
- 7.0 V
- 8.0 V
- 16.0 V
จากข้อ 102 จงคำนวณหาค่า
- 3.5 KΩ
- 7.0 KΩ
- 8.0 KΩ
- 16.0 KΩ
ถ้า Vac ที่จ่ายให้แก่เครื่องวัดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น เท่ากับ
และ
จงคำนวณหาค่า V_s
- 3.5 V
- 7.0 V
- 8.0 V
- 16.0 V
จากข้อ 104 จงคำนวณหา
- 3.5 KΩ
- 7.0 KΩ
- 8.0 KΩ
- 16.0 KΩ
ข้อใดเป็นความหมายของการขยายย่านวัดความต้านทานไฟฟ้าของโวลต์มิเตอร์แบบอนุกรม
- การทำให้โอห์มมิเตอร์มีค่าความต้านทานไฟฟ้าได้มากขึ้น
- การทำให้โอห์มมิเตอร์สามารถวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าได้มากขึ้น
- การทำให้โอห์มมิเตอร์แบบอนุกรมมีค่าความต้านทานไฟฟ้ามากขึ้น
- การทำให้โอห์มมิเตอร์แบบอนุกรมสามารถวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าได้มากขึ้น
จากรูปหมายเลข 3 หมายถึง
- ความต้านทานไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่ (
- ความต้านทานไฟฟ้าปรับตำแหน่ง 0 Ω
- ความต้านทานไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่
- แหล่งจ่ายความต้านทานไฟฟ้า ( E )
จากรูปข้อใดถูกต้อง
- หมายเลข 4 หมายถึง ตำแหน่ง
- หมายเลข 5 หมายถึง ตำแหน่ง
- หมายเลข 4 หมายถึง ตำแหน่ง R x 3
- หมายเลข 5 หมายถึง ตำแหน่ง R x 3
จากข้อ 107 ถ้า
= 500 Ω ,
= E = 3 V จงคำนวณหาค่า
ถ้ากำหนดให้
- 500 Ω
- 1 KΩ
- 1.5 KΩ
- 3 KΩ
จากข้อ 109 จงคำนวณหาค่า
ที่ตำแหน่ง
= 0 mA
- 0 Ω
- 500 KΩ
- 1.5 KΩ
- ∞ KΩ
จากข้อ 109 จงคำนวณหาค่า
ที่ตำแหน่ง
= 2 mA
- 0 Ω
- 500 KΩ
- 1.5 KΩ
- ∞ KΩ
มัลติมิเตอร์ หมายถึง
- เครื่องวัดไฟฟฟ้าที่สามารถวัดปริมาณไฟฟ้าได้อย่างน้อย 1 ค่า
- เครื่องวัดไฟฟ้าที่สามารถปริมาณได้สองค่า
- เครื่องวัดไฟฟ้าที่สามารถปริมาณได้สองค่า
- เครื่องวัดไฟฟ้าที่สามารถปริมาณได้สองค่า
จากรูปข้อใดถูกต้อง
- หมายเลข 1 เป็นย่านวัดความต้านทานไฟฟ้า
- หมายเลข 2 เป็นย่านวัดความต้านทานไฟฟ้า
- หมายเลข 3 เป็นย่านวัดความต้านทานไฟฟ้า
- หมายเลข 4 เป็นย่านวัดความต้านทานไฟฟ้า
เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กไดนามิก หมายถึง เครื่องวัดไฟฟ้าที่เปลี่ยนปริมาณไฟฟ้าที่วัดเป็นปริมาณทางกลแล้วทำให้เข็มชี้ค่าปราณที่วัดบนสเกล
- โดยอาศัยผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวน 2 สนาม
- โดยอาศัยผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรจำนวน 2 สนาม
- โดยอาศัยผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวน 1 สนาม
- โดยอาศัยผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวน 1 สนาม และสนามแม่เหล็กถาวรจำนวน 1 สนาม
ข้อใดเป็นโครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แม่เหล็กถาวร เข็มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ห้องอากาศ เข็มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวร ห้องอากาศ เข็มชี้สเกล
- แม่เหล็กไฟฟ้าอยู่กับที่ แม่เหล็กถาวร เข็มชี้และสเกล
หมายเลข 2 หมายถึง ส่วนใดของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดอยู่กับที่
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดเคลื่อนที่
- ห้องอากาศ
- สเกล
จากรูปข้อ 116 หมายเลข 4 หมายถึงส่วนประกอบใดของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดอยู่กับที่
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดเคลื่อนที่
- อากาศ
- สเกล
จงอธิบายหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมือนกันทำให้ขดลวดเคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือ
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรที่เหมือนกันทำให้ขดลวดเคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือ
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรที่เหมือนกันทำให้ขดลวดเคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือ
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรที่เหมือนกันทำให้ขดลวดเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้ายมือ
จากรูปจงอธิบายหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้ายมือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะไม่เคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้ายมือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
จากรูปจงอธิบายหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้ายมือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะไม่เคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
- เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้ายมือเพราะแรงผลักของขั้วแม่เหล็กไฟฟ้า
ถ้าเข็มชี้ของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็กบ่ายเบนไปทางด้านซ้ายมือ จะต้องแก้ไขอย่างไร
- สลับปลายสายของขดลวดเคลื่อนที่เพียง 1 ชุด
- สลับปลายสายของขดลวดอยู่ที่เพียง 1 ชุด
- สลับปลายสายของขดลวดเคลื่อนที่และขดลวดอยู่กับที่
- ถูกทั้งข้อ ก และ ข
ข้อใดเป็นสัญลักษณ์โครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กทรอไดนามิกแบบมีแกนเหล็ก
- 1
- 2
- 3
- 4
เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กทรอไดนามิกแบบแกนเหล็กนิยมประยุกต์สร้างเป็นเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดใด
- โอห์มมิเตอร์ แอมมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ แอลมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ อาร์มิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ โอห์มมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
ข้อใดเป็นดครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แม่เหล็กถาวร เข็มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ห้องอากาศ เข็มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวร ห้องอากาศ เข็มชี้สเกล
- แม่เหล็กไฟฟ้าอยู่กับที่ แม่เหล็กถาวร เข็มชี้และสเกล
หมายเลข 6 หมายถึง โครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดอยู่กับที่
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดเคลื่อนที่
- ห้องอากาศ
- สเกล
จากรูปในข้อ 125 หมายเลข 5 หมายถึงโครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็กข้อใด
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดอยู่กับที่
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชุดเคลื่อนที่
- ห้องอากาศ
- สเกล
ข้อใดเป้นหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีเหล็ก
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่จัดเรียงขั้วแม่เหล็กให้อยู่ในแนวเดียวกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวด
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่จัดเรียงขั้วแม่เหล็กให้อยู่ในแนวเดียวกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรของขดลวด
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่จะผลักกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรของขดลวดเคลื่อนที่จะผลักกันกับแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
จากรูปเมื่อจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับเข้าไปยังขั้วสองชุด เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านใด
- ไปทางด้านขวามือ
- ไปทางด้านซ้ายมือ
- ไปทางด้านขวามือสลับกับด้านขวามือ
- อยู่ที่ตำแหน่งเดิม
จากรูปจะต้องแก้ไข้อย่างไรให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปทางด้านขวามือ
- สลับปลายสายขดลวดเคลื่อนที่
- สลับปลายสายขดลวดอยู่กับที่
- ข้อ ก และข้อง ข
- ไม่ใช่ทั้งข้อ ก และข้อง ข
.ข้อใดเป็นสัญลักษณ์ทางโครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็ก
-
เครื่องวัดไฟฟ้าอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็กไปประยุกต์สร้างเป็นเครื่องวัดอะไรได้บ้าง
- โอห์มมิเตอร์ แอมมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ แอลมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ อาร์มิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
- โอห์มมิเตอร์ โอห์มมิเตอร์และวัตต์มิเตอร์
ข้อใดเป็นข้อเสียของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็ก
- เมื่อทำหน้าที่เป็นโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับสเกลจะเป็นเชิงเส้น
- เมื่อทำหน้าที่เป็นวัตต์มิเตอร์สเกลจะไม่เป็นเชิงเส้น
- เมื่อทำหน้าที่เป็นวัตต์มิเตอร์สเกลจะเป็นเชิงเส้น
- สร้างยาก ราคาแพง
ข้อใดเป็นข้อดีของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดอิเล็กทรอไดนามิกแบบไม่มีแกนเหล็ก
- สร้างเป็นเครื่องวัดไฟฟ้าได้ทั้งกระแสตรงและกระแสสลับ
- เมื่อทำหน้าที่เป็นแอมมิเตอร์สเกลจะเป็นเชิงเส้น
- เมื่อทำหน้าที่เป็นโวลต์มิเตอร์สเกลจะเป็นเชิงเส้น
- สร้างง่าย ราคาถูก
เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก หมายถึง เครื่องวัดไฟฟ้าที่เปลี่ยนปริมาณไฟฟ้าที่วัดเป็นปริมาณทางกลแล้วทำให้เข็มชี้ค่าปริมาณที่วัดบนสเกลโดยอาศัยแรงผลักของ
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวด 2 ชุดที่วางไห้วกันหรือขวางกันและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวด 2 ชุดที่วางไห้วกันหรือขวางกันและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรของขดลวด 2 ชุดที่วางไห้วกันหรือขวางกันและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวด 2 ชุดที่วางไห้วกันหรือขวางกันและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรเคลื่อนที่
จากรูปหมายเลข 2 หมายถึงโครงสร้างข้อใดของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดขวาง
- ขดลวดอยู่กับที่
- แม่เหล็กถาวร
- แกนเหล็กเคลื่อนที่
จากรูปข้อ 135 หมายเลข 5 หมายถึงโครงสร้างข้อใดของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดเคลื่อนที่
- ขดลวดอยู่กับที่
- แม่เหล็กถาวร
- แกนแม่เหล็กเคลื่อนที่
โครงสร้างข้อใดไม่ใช่เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก
- ขดลวดเคลื่อนที่
- ขดลวดอยู่กับที่
- สปริงก้นหอย
- ไม่มีข้อใดถูก
จงอธิบายหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางและขดลวดอยู่กับที่ที่เหมือนกันทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรชนิดขดลวดขวางและขดลวดเคลื่อนที่ที่เหมือนกันทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางและแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรที่เหมือนกันทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- แรงผลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดอยู่กับที่และแม่เหล็กไฟฟ้าถาวรที่เหมือนกันทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
จากรูป เข็มชี้จะเครื่องที่ไปทางด้านใด
- ไปทางด้านขวามือ
- ไปทางด้านซ้ายมือ
- ไปทางด้านขวามือสลับกับด้านขวามือ
- อยู่ที่ตำแหน่งกึ่งกลางสเกล
จากรูป เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านใดถ้า
- ไปทางด้านขวามือ
- ไปทางด้านซ้ายมือ
- ไปทางด้านขวามือสลับกับด้านขวามือ
- อยู่ที่ตำแหน่งกึ่งกลางสเกล
จากรูป เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางด้านใดถ้า
- ไปทางด้านขวามือ
- ไปทางด้านซ้ายมือ
- ไปทางด้านขวามือสลับกับด้านขวามือ
- อยู่ที่ตำแหน่งกึ่งกลางสเกล
ข้อใดเป็นสัญลักษณ์ทางโครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบมีแกนเหล็ก
-
เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดแบบมีแกนเหล็กนิยมประยุกต์สร้างเป็นเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดใด
- วัตต์มิเตอร์
- กิโลวัตต์ชั่วโมงมิเตอร์
- อ่ร์มิเตอร์
- เพาเวอร์แฟกเตอร์มิเตอร์
เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบไม่มีแกนเหล็กหมายถึง เครื่องวัดไฟฟ้าที่เปลี่ยนปริมาณไฟฟ้าที่วัดให้ เป็นปริมาณทางกลแล้วทำให้เข็มชี้ค่าปริมาณที่วัดบนสเกลโดยอาศัยแรงผลักของ
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดขวาง 2 ชุด ที่ไม่มีแกนเหล็กซึ่งวางไห้วกันหรือขวางกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดขวาง 2 ชุด ที่ไม่มีแกนเหล็กซึ่งวางไห้วกันหรือขวางกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเคลื่อนที่
- อำนาจแม่เหล็กถาวรของขดลวดขวาง 2 ชุด ที่ไม่มีแกนเหล็กซึ่งวางไห้วกันหรือขวางกันกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยู่กับที่
- อำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดขวาง 2 ชุด ที่ไม่มีแกนเหล็กซึ่งวางไห้วกันหรือขวางกัน
ข้อใดเป็นโครงสร้างของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดแบบไม่มีเหล็ก
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดที่ไม่มีแกนเหล็ก แม่เหล็กถาวร เข้มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดที่ไม่มีแกนเหล็ก ห้องอากาศ เข้มชี้และสเกล
- ขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดที่ไม่มีแกนเหล็ก ห้องอากาศ เข้มชี้สเกล
- แผ่นเหล็กอยู่กับที่ชนิดขดลวดที่ไม่มีแกนเหล็ก ห้องอากาศ เข้มชี้และสเกล
จากรูปหมายเลข 1 หมายถึงโครงสร้างข้อใดข้อเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบไม่มีแกน
- ขดลวดขวาง
- ขดลวดอยู่กับที่
- แม่เหล็กถาวร
- แกนเหล็กเคลื่อนที่
จากรูปหมายเลข 6 หมายถึงโครงสร้างข้อใดของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดแบบไม่มีแกนเหล็ก
- ขดลวดขวาง
- ขดลวดอยู่กับที่
- แม่เหล็กถาวร
- แกนเหล็กเคลื่อนที่
โครงสร้างข้อใดไม่ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดแบบไม่มีแกนเหล็ก
- ขดลวดขวาง
- ขดลวดอยู่กับที่
- แม่เหล็กถาวร
- แกนเหล็กเคลื่อนที่
จงอธิบายหลักการทำงานของเครื่องวัดไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางแบบไม่มีแกนเหล็ก
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางที่ไม่มีแกนเหล็กจะจัดเรียงขั้วแม่เหล็กในแนวเดียวกับกับขั้วแม่เหล็กของลวดอยู่กับที่แล้วทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางที่ไม่มีแกนเหล็กจะจัดเรียงขั้วแม่เหล็กขดลวดเคลื่อนที่ในแนวเดียวกับกับขั้วแม่เหล็กของลวดอยู่กับที่แล้วทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางที่ไม่มีแกนเหล็กจะจัดเรียงขั้วแม่เหล็กถาวรในแนวเดียวกับกับขั้วแม่เหล็กของลวดอยู่กับที่แล้วทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
- สนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดขดลวดขวางที่ไม่มีแกนเหล็กจะจัดเรียงขั้วแม่เหล็กขดลวดอยู่กับที่และแม่เหล็กถาวรในแนวเดียวกับกับขั้วแม่เหล็กของลวดอยู่กับที่แล้วทำให้เข็มชี้เคลื่อนที่ไปชี้ค่าบนสเกล
จากรูป เข็มชี้จะเคลื่อนที่ไปทางใด
- ไปทางด้านขวามือ
- ไปทางด้านซ้ายมือ
- ไปทางด้านขวามือสลับกับด้านขวามือ
- อยู่ที่ตำแหน่งกึ่งกลางสเกล